วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

บทความพิเศษ วันที่ 19/9/56

ขณะที่สายตาของผู้คนส่วนมาก กำลังเฝ้าคอยดูว่าทางเฟดจะประกาศนโยบายลดขนาดการทำคิวอีแค่ใหน เพราะว่ามันจะมีผลกระทบโดยตรงกับตลาดการเงินและสินทรัพย์ทางการเงินอย่างมาก น้อยคนจะเอาใจใส่ถึงปัญหาโครงสร้างทางการเงินที่ล้มละลายแล้วที่สหรัฐฯกำลังเจออยู่ ว่าจะหาทางออกอย่างไร การที่ประธานาธิบดีโอบามาเสนอให้Larry Summers เป็นประธานเฟด ก็เพราะว่าเขาต้องการให้อดีตรมวคลังคนนี้แก้ปัญหาที่ตัวเองสร้างขึ้นเมื่อปี1999 ร่วมกับนายของเขา คือRobert Rubin สมัยที่คุมคลังช่วงประธานาธิบดีคลินตัน แต่Summersไหวตัวทันไม่ขอรับตำแหน่ง เพราะว่าสภาซีเนทจะโหวตไม่ให้ผ่านการรับรองเป็นประะานเฟด อีกประการหนึ่งเขาต้องรู้ตัวดีว่าในฐานะประธานเฟด เขาต้องเจออะไร

ปัญหาระบบการเงินที่เปราะบางและอยู่ในภาวะที่ล้มละลายแล้วของสหรัฐฯตอนนี้ ถ้าจะสืบสาวกันจริงๆ ก็มาจากการปล่อยเสรีภาคการธนาคารในสมัยคลินตัน โดยที่Rubinอดีตประธานของ Goldman Sachs เป็นเสาหลักในฐานะรมวคลัง และมีSummers เป็นผู้ช่วยรมวตลัง โดยผลักดันให้มีการเลิกกฎหมาย Glass Steagall Act ที่ควบคุมธุรกิจการปล่อยกู้ lending business และธุรกิจวานิชธนกิจ investment banking businessออกจากกัน คือไม่ให้แบงค์ทำคู่ ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อจะป้องกันไม่ให้แบงค์มีขนาดใหญ่เกินไปและทำธุรกิจไขว้ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน

พอกฎหมายGlass Steagall Act เลิกไป ก็เหมือนกับการปล่อยผีออกมาจากป่าช้า เพราะว่าแบงค์เริ่มออกตราสารการเงินแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นmortage backed securities, collateralised debt obligations, credit default swaps ตลาดอนุพันธ์ที่แบง์เล่นมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น$600 ล้านล้าน - $1,000ล้านล้าน ฯลฯ กอปรกับเฟดสมัยปู่ Alan Greenspan กดดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้เกิดฟองสบู่ภาคการเงินไปด้วย สหรัฐฯได้ย้ายโรงงาน56,000แห่งออกนอกประเทศโดยมากจะไปจีนหลัง การเซ็นเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ North American Free Trade Agreement ยิ่งจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯพึ่งพาการบริโภคภายใน และการบริการมากขึ้น ในขณะที่ฐานการผลิตภาคอุตสาหกรรมอ่อนแอลง บรรยากาศช่วงนั้นเป็นการเก็งกำไรทางการเงินอย่างเดียว มีการก่อหนี้มากมายมหาศาล เกิดภาวะฟองสบู่

แล้วฟองสบู่ก็แตกปี2008 ทำให้ระบบการเงินสหรัฐฯพังและมีทีท่าว่าจะลากระบบการเงินโลกลงเหวไปด้วย เพราะมันโยงกันไปหมด แทนที่สหรัฐฯจะเลือกการปฏิรูประบบการเงิน และเศรษฐกิจ กลับเลือกที่จะใช้ทั้งการคลังและการเงินมาอุ้มระบบการเงินและเศรษฐกิจทั้งยวง มีผลทำให้ฐานะการคลังของรัฐบาลเข้าขั้นล้มละลายทุกวันนี้ เพราะว่าตอนที่โอบามาเข้ารับตำแหน่ง หนี้ภาครัฐฯอยู่ที่$9-$10ล้านล้าน แต่ตอนนี้หนี้ภาครัฐฯทะลุ$17ล้านล้านหรือกว่า 100%ต่อจีดพีไปแล้ว เพราะภาระสูงในการอุ้มเศรษฐกิจ นี้ยังไม่ได้นับหนี้นอกงบประมาณunfunded liabilities อีก$100-$200ล้านล้านเหรียญ พูดง่ายๆว่าสหรัฐฯไม่มีทางใช้หนี้ได้ มีแต่จะต้องออกบอนด์ใหม่ไปใช้หนี้เก่าไปเรื่อยๆจนกว่าคนจะไม่เชื่อถือในบอนด์และเงินดอลล่าร์อีก ส่วนทางด้านการเงิน เฟดกดดอกเบี้ย0% และพิมพ์เงินอุ้มแบงค์ทั้งระบบผ่านการทำQE โดยเข้าไปซื้อmortgage backed securities และตราสารอื่นๆที่เรามิอาจทราบได้ของแบงค์ในราคาตามบัญชี พูดง่ายๆยอมแบกหนี้เสียแทนแบงค์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้แบงค์มีฐานะดีขึ้น เพราะว่าความเปราะบางของเศรษฐกิจยังอยู่ ที่บอกว่าฟื้นแล้วก็คงจะเป็นการเล่นแร่แปรธาตุทางบัญชี ตัวเลขจีดีพี เงินเฟ้อ การจ้างงานไม่น่าเชื่อถือ บริษัทเร็ทติ้งก็เล่นตามเกมด้วยการคงเร็ทติ้งของสหรัฐฯในระดับAAAต่อไป ทั้งๆที่ล้มละลายแล้ว ถ้าเศรษฐกิจดีจริง เฟดจะต้องปรับนโยบายดอกเบี้ย 0%ที่คงมา5ปัแล้ว แต่ไม่เห็นวี่แววเลยว่าจะเลิกได้ ทำให้เกิดการใช้เงินผิดประเภท มีการเก็งกำไร คนรวยรวยขึ้น คนจนจนลง

เนื่องจากระบบการเงินสหรัฐฯง่อนแง่นมาก ถ้ามีอะไรจุดปะทุขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นสงคราม การทิ้งดอลล่าร์โดยต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน อัตราดอกเบี้ยที่ขึ้นพรวดพราดโดยที่เฟดคุมไม่อยู่ อาจนำไปสู่การแห่ถอนเงินฝากทำให้แบงค์เจ้ง หรือการพังทลายของตลาดบอนด์ เมื่อถึงตอนนั้นสหรัฐฯจะเข้ามุมอับ ดิ้นไม่ออกทั้งทางการเงินและเศรษฐกิจ เพราะว่าหนี้ท่วมหัว ไม่มีช่องว่างให้ขยับเลย ยกเว้นการพิมพ์เงินของเฟดที่มีความเสี่ยงของเงินเฟ้อแบบถล่มทะลาย hyperinflation ด้วยเหตุนี้โอบามาถึงต้องการให้Summersมาแก้ปัญหา เพราะตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของการก่อปัญหา เวลาพังจะได้หาแพะตัวอ้วนๆมาชี้เป้าได้สะดวก แต่Summersคงต้องอ่านเกมออกว่างานนี้มีแต่พังกับพัง ทางออกข้างหน้าสำหรับสหรัฐฯคือ

1. ใช้วิธีเดียวกับที่ไซปรัสทำ คือกรณีที่แบงค์ล้ม รัฐบาลจะเข้าไปยึดเงินฝากประชาชน มาจ่ายหนี้เสียของแบงค์ ส่วนของผู้ถือหุ้นต้งโดนด้วย เมื่อเร็วๆนี้ รัฐบาลโปแลนด์ได้ทำเป็นตัวอย่างให้เห็นแล้วด้วยการยึดเงินบำนาญของประชาชนเพื่อมาเป็นหลักประกันแบงค์ล้ม Eric Sprott บอกว่ารัฐบาลในโลกตะวันตกได้เตรียมมาตรการbail inคือยึดเงินฝากประชาชนเรียบร้อยแล้วในกรณีที่แบงค์ล้ม

2. วิธีที่สองคือให้รัฐบาลช่วยประชาชน คือแจกเงินสดเลยให้ใช้ หรือไม่ก็โล๊ะหนี้บ้านที่ติดชำระให้ วิธีนี้ปริมาณเงินในระบบจะเพิ่ม และเฟดจะทำหน้าที่ที่ตัวเองถนัดที่สุดอยู่แล้วคือการพิมพ์เงิน

3. วิธีที่สาม ที่โอบามาอาจเลือกใช้คือ ให้กระทรวงคลังพิมพ์ดอลล่าร์ใหม่ออกมา ล้มเฟดไปเลย ไม่ยอมรับดอลล่าร์ปัจจุบัน หนี้ต่างๆโบ้ยให้เฟดรับให้หมด แล้วเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ด้วยเงินดอลล่าร์ใหม่ รายละเอียดเป็นอย่างไร น่าจะคิดกันแล้ว ว่าจะเอาดอลล่าร์ใหม่ แทนดอลล่าร์เก่าอย่างไร เป็นการเบี้ยวหนี้ไปในตัว

ขณะนี้คนเริ่มเห็นแล้วว่าดอลล่าร์อาจจะอยู่รอดได้ไม่นาน เพราะว่ากำลังจะเจอผลกรรมที่ก่อไว้ในสงครามการเงิน คือในปี 2010 ทั้งรมวคลังTimothy Geithner และประธานเฟดBen Bernanke ขายนโยบายดอก0% ให้โอบามาเพื่อเป็นการฟื้นเศรษฐกิจและดูแลระบบการเงินที่ล้มละลายไปแล้ว ด้วยนโยบายนี้ สงครามการเงินสมัยใหม่เกิดขึ้น คือทำให้เกิด US dollar carry trade หมายความว่าแบงค์หรือพวกกองทุนยืมดอลล่าร์ดอกเบี้ยแทบจะฟรี เพื่อที่จะลงทุนในตลาดเกิดใหม่ และบริกส์ ทำให้ราคาทรัพย์สินทางการเงินพุ่งมาก หุ้นราคาสูง ค่าเงินแข็งในช่วงที่ผ่านมา พอเวลาผ่านไป 4-5ปี การทำคิวอีต่อเนื่องนานๆจะเป็นอันตราย ทำให้เฟดอยากที่จะถอนขนาดการทำคิวอีที่$85,000ล้านต่อเดือน งบดุลเฟดเพิ่มจาก$800,000ล้านช่วงก่อนวิกฤติเป็น $3.5ล้านล้านแล้ว โดยไม่สามารถจะลดได้ ตลาดเริ่มมีปฏิกิริยาโต้กลับทำให้ดอกเบี้ยสหรัฐฯเพิ่ม1%นับจากเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ดอกเบี้ยที่ขึ้นทำให้พวกกองทุนต้องขายหุ้นหรือทรัพย์สินที่ลงทุนในบริกส์และตลาดเกิดใหม่กลับมาปิดบัญชีUS dollar carry trade ที่บ้าน มีผลทำให้ราคาทรัพย์สินของบริกส์และตลาดเกิดใหม่ตกฮวบฮาบถึง20%กว่าในช่วงที่ผ่านมา แน่นอนจีน อินเดียและรัสเซียย่อมต้องไม่พอใจกับการก่อสงครามการเงินแบบนี้ของนโยบายคิวอีของสหรัฐฯ เตรียมเล่นงานกลับด้วยการทิ้งดอลล่าร์ หรือค้าขายไม่เอาดอลล่าร์ จะได้ไม่เป็นเชลยของนโยบายการเงินของเฟดอีก ถ้ารวมตัวทิ้งดอลล่าร์ได้เมื่อไหร่ ดอลล่าร์มีหวังร่วงเหมือนนกปีกหัก

โอบามาคงต้องคิดคำนวนแล้วว่าจะรีเซ็ทระบบการเงินหรือดอลล่าร์ในประเทศในขณะที่ตัวเองยังคุมสถานการณ์ได้ หรือจะคอยจนกว่าตลาดการเงินของโลก หรือจีนรีเซ็ทให้ ตอนนั้นอาจจะเอาไม่อยู่ หรือคุมสถาการณ์ไม่ได้

4. ให้จับตาดูวันที่13-14พฤศจิการยนที่จะถึงนี้ เพราะจะเป็นวันที่Department of Homeland Security จะมีการซ้อมป้องกันประเทศในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงหรือวินาศภัยระดับชาติ ไม่ว่าคอมพิวเตอร์ดับทั้งระบบ ไฟฟ้าดับทั้งประเทศ หรือไม่ก็สหรัฐฯโดนโจมตีจากมนุษญ์ต่างดาว ( อันนี้ล้อเล่น) ไม่รู้ว่าวันนั้นจะมีโรคแทรกซ้อนอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า เหมือนกับบ้านเราที่ทหารออกมาซ้อมรบ แต่พอเอาเข้าจริงก็เอาจริงไปเลย เพราะว่าอย่างที่เขียนมาแล้ว โอบามามีกองทัพหลักDepartment of Homeland Securityอยู่ในมือ ที่สามารถทำการเปลี่ยนแปลงสหรัฐฯแบบถอกรากถอนโคนได้ สมกับที่เคยสัญญากับคนอเมริกันช่วงรัฐตำแหน่งสมัยแรกว่า ถึงเวลาที่จะต้องCHANGE แล้ว


Thanong Fanclub

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น